แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011

แฟชั่นสวยจากแบรนด์หรู หลุยส์ วิตตอง ที่คอลเลคชั่นสำหรับ 2011 นี้
มาพร้อมกับธีมของคอลเลคชั่นสไตล์ Retro มอบความย้อนยุคแบบความหรูหราที่หาที่ติไม่ได้
http://static.truelife.com/blog/files/members/1/4540/133993/d2ba7.jpg
แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011

http://static.truelife.com/blog/files/members/1/4540/133992/d4827f84dd9d.jpg
แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011

http://static.truelife.com/blog/files/members/1/4540/133991/61a37.jpg
แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011


http://static.truelife.com/blog/files/members/1/4540/133990/754c528442.jpg
แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011


http://static.truelife.com/blog/files/members/1/4540/133989/4216cc.jpg
แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011

http://static.truelife.com/blog/files/members/1/4540/133988/6ac1a1b.jpg
แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011

http://static.truelife.com/blog/files/members/1/4540/133986/f18a85f94a.jpg
แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011

http://static.truelife.com/blog/files/members/1/4540/133985/07466e9.jpg
แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011

http://static.truelife.com/blog/files/members/1/4540/133984/15da7830fb4a.jpg
แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011

http://static.truelife.com/blog/files/members/1/4540/133983/df063d511.jpg
แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011

http://static.truelife.com/blog/files/members/1/4540/133982/0e363d5cacc0.jpg
แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011

http://static.truelife.com/blog/files/members/1/4540/133981/6afce32033b.jpg
แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011

http://static.truelife.com/blog/files/members/1/4540/133980/9007d487.jpg
แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011


http://static.truelife.com/blog/files/members/1/4540/133979/6c1f41304.jpg
แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011


http://static.truelife.com/blog/files/members/1/4540/133978/c8f9457b.jpg
แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011

http://static.truelife.com/blog/files/members/1/4540/133977/1185ea4b4.jpg
แฟชั่น Louis Vuitton Cruise 2011

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ สืบแทนสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ซึ่งเสด็จสู่สวรรคาลัยโดยกะทันหัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ จุลศักราช ๑๒๘๙ รัตนโกสินทร์ศก ๑๔๖ ตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ ณ โรงพยาบาลเมานท์ ออเบิร์น (Mount Auburn) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสสาชูเซทท์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งสมเด็จพระบรมราชชนกได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์อยู่ ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่ ๓ พระนามเดิมว่า “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช” ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๗๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระฐานันดรศักดิ์เป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระเชษฐภคินี ๑ พระองค์ และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ๑ พระองค์ มีพระนามเดิมและพระอิสริยยศต่อมาตามลำดับ ดังนี้
หม่อมเจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา ประสูติเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๖๖ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ทรงได้รับการสถาปนาเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและทรงได้รับการสถาปนาพระฐานันดรศักดิ์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๘ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ต่อมาปีพุทธศักราช ๒๕๓๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ให้ทรงมีพระยศทรงกรมว่า กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
หม่อมเจ้าอานันทมหิดล ประสูติเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๖๘ ณ เมืองไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมนี ทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ รัฐบาลจึงได้ทูลเชิญพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล เสด็จขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์เป็น พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๘ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๗๘ ทรงพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตโดยกะทันหัน เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง
สมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงพระนามว่า สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี ทรงพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช ทรงได้รับการสถาปนามีพระยศทรงกรมว่า กรมหลวงสงขลานครินทร์ ได้เสด็จทรงศึกษาวิชาการแพทย์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา และทรงสำเร็จวิชา แพทย ศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยม จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการพยาบาลจากโรงเรียนแพทย์ผดุง ครรภ์และหญิงพยาบาล แห่งศิริราช เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๙ ต่อจากนั้นทรงได้รับทุนการศึกษาของสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ไปทรงเรียนวิชาพยาบาลเพิ่มเติมที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๐ ทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระบรมราชชนก ขณะดำรงพระยศ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๓
เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๑ ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมพรรษาได้ ๑ พรรษา สมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงสำเร็จการศึกษาและเสด็จกลับประเทศไทย ครั้งนั้นได้ประทับที่วังสระปทุม ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า อีกหนึ่งปีต่อมา ในเดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๗๒ สมเด็จพระบรมราชชนก ทรงพระประชวร และสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ในปีเดียวกัน
เมื่อทรงพระเยาว์ สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ทรงรับพระราชภาระแห่งความเป็นแม่อย่างใหญ่หลวง เพราะต้องทรงอภิบาลพระโอรสธิดาองค์น้อยๆ โดยลำพังถึง ๓ พระองค์ และที่นับว่าเป็นพระราชภาระที่หนักยิ่งกว่าภาระของแม่ใดๆ ก็เพราะว่าพระโอรสธิดาที่ทรงอภิบาลรับผิดชอบนั้นต่อมาเป็นพระประมุขของประเทศถึง ๒ พระองค์ เพราะฉะนั้น การอภิบาลรักษาและการถวายการอบรมสั่งสอน จึงมีความยากและมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
พระ ราชจริยาวัตรในเชิงสร้างสรรค์ที่สำคัญประการหนึ่ง คือสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี ทรงสอนพระโอรสธิดา ให้เรียนรู้เรื่องแผนที่และการใช้แผนที่ กล่าวคือ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ โรงเรียนเพาะช่างในสมัยนั้นจัดทำแผนที่ประเทศไทยโดยผลิตเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ มีกล่องไม้พร้อมฝาปิดเปิดสำหรับใส่เพื่อให้พระโอรสธิดาทั้ง ๓ พระองค์ ทรงเล่นเป็นเกมส์สนุกคล้ายการต่อรูปต่างๆ เป็นการสอนให้รู้จักประเทศไทย และรู้จักการดูการใช้แผนที่ไปพร้อมๆ กัน จึงกล่าวได้ว่าพระราชดำริสร้างสรรค์ เหล่านี้ ประกอบกับคุณธรรมอีกหลายประการได้มีบทบาทอย่างใหญ่หลวงต่อการที่ทรงอภิบาล และฝึกสอนพระโอรสธิดา ดังจะเห็นได้ว่าพระราชอัธยาศัยและพระราชจริยาวัตรอันงดงามหลายประการใน สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนน ีได้ส่งผล ไปถึงพระราชอัธยาศัยและพระราชจริยาวัตรของพระโอรสธิดา อาทิ พระราชอัธยาศัยโปรดการถ่ายรูปและถ่ายภาพยนตร์ ได้สืบทอดมายังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างครบถ้วน ดังจะเคยได้เห็นการเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ใดจะทรงมีสิ่งของประจำ พระองค์ คือ ทรงมีแผนที่ กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบด้วย เวลาทรงงานจะทรงใช้ยางลบเสมอ เมื่อทรงพบเห็นอะไรก็จะทรงขีดเขียนบนแผนที่ เช่นเดียวกับพระบรมราชชนนีที่ทรงกระทำมาก่อน บางครั้งจะทรงพบว่า ณ จุดทรงงานนั้นเป็นสถานที่บนภูเขาแต่ตามระวางของกรมแผนที่ระบุไว้ว่าเป็นธาร น้ำ จึงดูคล้ายกับน้ำไหลขึ้นสูง และได้พระราชทานข้อสังเกตนี้แก่กรมแผนที่ซึ่งกรมแผนที่ได้สำรวจใหม่จึงพบว่า เป็นเรื่องผิดพลาดของ เจ้าหน้าที่เอง กลายเป็นน้ำไหลกลับขึ้นที่สูง จากนั้นกรมแผนที่ได้เขียนเป็นเอกสารถวายสดุดีเฉลิมพระเกียรติว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักแผนที่ผู้ชำนาญพระองค์หนึ่งด้วย
พุทธศักราช ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๕ พรรษา ได้เสด็จทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพมหานคร เป็นเวลา ๑ ปี หลังจากนั้นได้เสด็จไปประทับ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ทั้งนี้เนื่องจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชไม่ทรงแข็งแรง จำเป็นต้องประทับในสถานที่ซึ่งอากาศดีและไม่ชื้น พลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร พระปิตุลา ทรงแนะนำให้เสด็จไปประทับที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์ได้ทรงเข้าศึกษาชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเอกอลเมียร์มองต์ (Ecole Mieremont) เมืองโลซานน์ พร้อมด้วยพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เมื่อจบชั้นประถมศึกษาแล้ว ก็ทรงเข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ณ โรงเรียนเอกอล นูแวล เดอ ลาซืออิส โรมองด์ (Ecole Nouvelle de la Suisse Romande) เมืองแชลลี ซูร โลซานน์ (Chailly-sur-Lausanne)
พุทธ ศักราช ๒๔๘๑ ทรงจบการศึกษาจากโรงเรียนยิมนาส คลาสสิค กังโตนาล (Gymnase Classique Cantonal) แห่งเมืองโลซานน์ ทรงได้รับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์ แล้วทรงเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยโลซานน์ แผนกวิทยาศาสตร์ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๘๘ ได้เสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งที่ ๒ โดยเสด็จ สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช หลังจากเคยเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยชั่วคราวครั้งที่ ๑ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๑ ครั้งหลังนี้ได้เสด็จประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวังจนกระทั่งถึงวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จสวรรคตโดยกะทันหัน คณะรัฐบาลไทยในขณะนั้นได้กราบบังคมทูลอัญเชิญ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชในวันเดียวกัน เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงมีพระราชภารกิจในการศึกษาต่อ จึงได้เสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในเดือนมิถุนายนของปีนั้น รวมเวลาที่เสด็จประทับในประเทศไทยได้ ๖ เดือน ในการทรงศึกษาต่อครั้งนี้ ทรงเลือกเรียนวิชารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์แทนวิชาวิทยาศาสตร์ที่ทรงศึกษาอยู่แต่เดิมก่อนเสด็จนิวัตประเทศไทย
เมื่อ วันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๒ ได้ทรงหมั้นหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาองค์ใหญ่ของหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร ผู้ซึ่งต่อมา เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๓ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯสถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านักขัตรมงคลและในพุทธศักราช ๒๔๙๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯสถาปนาขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรมมีพระนามว่า พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ
พุทธศักราช ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินนิวัตประเทศไทย ประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลในเดือนมีนาคม ปีเดียวกัน
วันที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ณ วังสระปทุม มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ และเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในเดือนต่อมา
    

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่เคารพรักและเทิดทูนของปวงชนชาวไทย เช่นเดียวกับพระมหาบูรพกษัตริย์ทุกพระองค์ แห่งราชวงศ์จักรีที่ปกครองประเทศชาติให้ผ่านพ้นผองภัย นานาประการมากว่า 200 ปี ในช่วงปีพุทธศักราช 2503 บรรดาประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของเรา มีปัญหาการปกครองภายในเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ ลัทธิการเมืองใหม่ที่นำมาซึ่งความขัดแย้งรุนแรง แต่ไทยเรารอดปลอดภัยมาได้เพราะพระองค์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทุกคน โครงการงานในพระราชดำริมากมายที่พระองค์ทรงริเริ่ม ได้สร้างประโยชน์สุขให้แก่พสกนิกร ทั่วราชอาณาจักร เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของนานาประเทศ ถึงกับมีผู้กล่าวไว้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงแต่งานเป็นกิจวัตรหลัก เป็นที่น่าพิศวงยิ่งนัก แม้พระองค์จะทรงมีภารกิจต่างๆ มากมาย แต่พระองค์ก็ยังทรงมีเวลาสร้างสรรค์พระราชนิพนธ์ทางดนตรี ที่มีความไพเราะไว้มาก ซึ่งยังติดตรึงใจปวงชนชาวไทยตลอดมา
รายการเพลงพระราชนิพนธ์
ชื่อเพลง
ความเป็นมา
เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 2 ทรงพระราชนิพนธ์ ใน พ.ศ. 2489 ขณะยังทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องภาษาไทย และท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา แต่งคำร้องภาษาอังกฤษ แล้วพระราชทานเพลงพระราชนิพนธ์ที่มีคำต้องสมบูรณ์ให้นายเอื้อ สุนทรสนาน นำออกบรรเลงในงานของสมาคมปราบวัณโรค ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร เมื่อวันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 นับเป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรกที่นำออกบรรเลงสู่ประชาชน เป็นเพลงที่ร่าเริงแจ่มใสเหมาะสำหรับการเต้นรำในสมัยนั้น จึงเป็นเพลงยอดนิยมของพสกนิกรไทยทันที
เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 3 ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. 2489 ขณะทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องภาษาไทย ส่วนภาษาอังกฤษ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงแต่งร่วมกับท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา เพลงพระราชนิพนธ์สายฝนนี้ มีลีลานุ่มนวลอ่อนหวาน บรรเลงครั้งแรกในงานรื่นเริงของสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย ณ เวทีลีลาศสวนอัมพร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2489 จึงเป็นเพลงยอดนิยมของพสกนิกรไทยอีกเพลงหนึ่งจนถึงปัจจุบัน
เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 4 ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. 2489 ขณะทรงเป็นสมเด็กพระอนุชาธิราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ประพันธ์คำร้องภาษาไทย โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงช่วย ส่วนคำร้องภาษาอังกฤษ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงนพคุณ ทองใหญ่ ณ อยุธยา ประพันธ์ขึ้น และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ทรงช่วยแก้ไข แล้วพระราชทานให้วงดนตรีสุนทราภรณ์นำออกบรรเลงครั้งแรกทางสถานีวิทยุกระจายเสียงกรมโฆษณาการ (กรมประชาสัมพันธ์ปัจจุบัน) เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2489
เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 8 ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อวันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 ขณะประทับแรมบนภูเขาในเมืองดาโวส์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย
เพลงพระราชนิพนธ์อันดับที่ 10 ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระ เจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย
เพลงพระราชนิพนธ์อันดับที่ 11 ทรงพระราชนิพนธ์เมื่อวันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 เป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรก ที่ใช้ Pentatonic Scale คือ 5 เสียง แทน Scale แบบสิบสองเสียง (Chromatic Scale) ศาสตราจารย์ หม่อมราชวงศ์สุมนชาติ สวัสดิกุล ได้ขอพระราชทานเพลงประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานทำนองเพลงพระราชนิพนธ์นี้ให้ไปใส่คำร้องเอง ท่านผู้หญิง สมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา และนายสุพร ผลชีวิน จึงได้ประพันธ์คำร้องถวาย
ต่อมาใน พ.ศ. 2497 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายเทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล นำทำนองเพลงพระราชนิพนธ์มหาจุฬาลงกรณ์มาแต่งเป็นแนวไทย นายเทวาประสิทธิ์รับพระราชทานมาทำและบรรเลงถวายด้วยวงปี่พาทย์ถึงสองครั้ง
ภายหลังเมื่อนายเทวาประสิทธิ์ไปสนอในชมรมดนตรีสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้นำเพลงพระราชนิพนธ์นี้มาปรับปรุง เป็นเพลงโหมโรง สำหรับใช้โหมโรงในการบรรเลงดนตรีไทยของชมรม อาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระ เจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ นิพนธ์คำร้องทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย


พระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานแก่ปวงราษฎรไทยทั้งหลาย ในระยะต้นแห่งการ เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยสิริราชสมบัตินั้น เป็นพระราชดำริด้านการแพทย์และงานสังคมสงเคราะห์เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากในระยะต้น รัชกาลนั้นกิจการด้านการแพทย์ของไทยยังไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร และการบริการสาธารณสุขในชนบทยังมิได้แพร่หลาย เฉกเช่นปัจจุบัน
พระราชกรณียกิจช่วงแรกเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493- 2505 จะเป็นการช่วยเหลือบรรเทาปัญหาเฉพาะหน้า ไม่มีลักษณะเป็นโครงการเต็มรูปแบบอย่างปัจจุบัน เช่น
เมื่อ พ.ศ. 2493 วัณโรค มีอุบัติการณ์สูงและยังไม่หมดไปจากประเทศไทย ปีหนึ่งๆ มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคนี้เป็นจำนวนไม่น้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยมีพระราชปรารภกับหลวงพยุงเวชศาสตร์
อธิบดีกรมสาธารณสุข เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2493 ความว่า
“คุณหลวง วัณโรค สมัยนี้มียารักษากันได้เด็ดขาดหรือยัง ยาอะไรขาด ถ้าต้องการฉันจะหาให้อีก ฉันอยากเห็นกิจการแพทย์ของเมืองไทยเจริญมากๆ”
จากนั้นในปี พ.ศ. 2496 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชทรัพย์จำนวน 500,000 บาท เพื่อใช้สร้างอาคาร “มหิดลวงศานุสรณ์” ในบริเวณสถานเสาวภา สำหรับใช้ในกิจการทางด้านวิทยาศาสตร์และ ผลิตวัคซีน บี ซี จี ซึ่งผู้คนยุคนั้นกำลังประสบปัญหาจากวัณโรคอย่างร้ายแรงทรงริเริ่มสร้าง ภาพยนตร์ขึ้น ที่รู้จักกันในนามว่า “ภาพยนตร์ส่วนพระองค์” จัดฉายเพื่อหารายได้จากผู้บริจาค โดยเสด็จพระราชกุศลนำมาช่วยเหลือพสกนิกรด้านต่าง ๆเช่น สร้างตึกวชิราลงกรณ์สภากาชาดไทย อาคารทางการแพทย์โรงพยาบาลภูมิพล

 เมื่อคราวที่โรคอหิวาตกโรคระบาดอย่างรุนแรงในเมืองไทย ซึ่งโรคนี้ต้องใช้ “น้ำเกลือ” เป็นจำนวนมาก แต่ในขณะนั้นการให้ น้ำเกลือแก่ผู้ป่วยมีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากต้องสั่งจากต่างประเทศ และน้ำเกลือที่ผลิตได้ในประเทศไทยตอนนั้นยังขาดคุณภาพ จนกล่าวกันว่า “ใส่ใครไปก็ช็อค” จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้มีการศึกษาวิจัยและสนับสนุนในการค้นหาวิธี สร้างเครื่อง กลั่นน้ำเกลือใช้เอง จนมีคุณภาพทัดเทียมกับต่างประเทศ และเป็นที่ยอมรับกันจนถึงปัจจุบันนี้
โครงการแพทย์หลวงพระราชทาน “เรือเวชพาหน์” เพื่อใช้เป็นหน่วยเคลื่อนที่รักษาราษฎรที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ตามลำน้ำ โดยพระราชทาน พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการดำเนินการมาจนทุกวันนี้
พระราชจริยวัตรเช่นนี้ได้กลายเป็นการขยายวงกว้าง ของปรัชญาการสังคมสงเคราะห์ของประเทศไทย โดยฝังลึกจิตใจคนไทยลงไปถึงระดับล่างทุดพื้นที่ในเรื่องของการช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน จะเห็นได้ขากยามที่มีสาธารณภัยเกิดขึ้น คนไทยทั้งหลายจะช่วยเหลือกันบริจาคโดยมิต้องร้องขอแต่อย่างใด
ด้วย ความห่วงใยในทุกข์สุขของอาณาประชาราษฎร์ นับแต่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเด็จเถลิงถวัลยสิริราชสมบัติเป็นต้นมา พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนประชาชนตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทยากจน อยู่ในภูมิภาคต่างๆ มากกว่าประทับอยู่ในพระราชวังที่กรุงเทพฯ ทั้งนี้เพื่อทรงค้นหาข้อมูลที่แท้จริงจากประชาชน เจ้าหน้าที่ของรัฐประจำพื้นที่ และทรงสังเกตการณ์ สำรวจสภาพทางภูมิศาสตร์ไปพร้อมๆกันด้วย ทั้งนี้เพื่อทรงรวบรวมข้อมูลไว้เป็นแนวทางที่จะพระราชทานพระราชดำริในการ ดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่อไป
พระราชดำริเริ่มแรกอันเป็นโครงการช่วยเหลือประชาชนเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กรมประมงนำพันธุ์ปลาหมอเทศจากปีนัง ซึ่งได้รับจากผู้เชี่ยวชาญด้านการประมงขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ เข้าไปเลี้ยงในสระน้ำพระที่นั่งอัมพรสถาน และเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2496 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพันธุ์ปลาหมอเทศ นี้แก่กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทั่วประเทศ นำไปเลี้ยงเผยแพร่ขยายพันธุ์แก่ราษฎรในหมู่บ้านของตน เพื่อจักได้มีอาหารโปรตีนเพิ่มขึ้น
โครงการพระราชดำริที่นับว่าเป็นโครงการพัฒนาชนบทโครงการแรก เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2495 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานรถบลูโดเซอร์ ให้หน่วยตำรวจตระเวนชายแดนค่ายนเรศวร ไปสร้างถนนเข้าไปยังบ้านห้วยมงคล ตำบลหินเหล็กไฟ (ปัจจุบันคือ ตำบลทับใต้) อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคิรีขันธ์ เพื่อให้ราษฎรสามารถสัญจรไปมาและนำผลผลิตออกมาจำหน่ายยังชุมชนภายนอกได้สะดวกขึ้น
จากนั้นในปี พ.ศ. 2496 ได้พระราชทานพระราชดำริให้สร้างอ่างเก็บน้ำเขาเต่า อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคิรีขันธ์ เพื่อบรรเทาความแห้งแล้ง เดือดร้อนของราษฎรและสร้างเสร็จใช้ประโยชน์ได้ในปี พ.ศ. 2506 นับเป็นโครงการพระราชดำริทางด้านชลประทานแห่งแรกของพระองค์

ที่มา : http://www.rdpb.go.th


พระราชกรณียกิจด้านวิทยศาสตร์ - เทคโนโลยี
  “ในหลวง” พระผู้ทรงบำบัดทุกข์-บำรุงสุขราษฎร์ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ตลอด ๖๐ ปีภายใต้ร่มฉัตรแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พสกนิกรชาวไทยต่างซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณและต่างรู้ซึ้งถึงพระอัจฉริย ภาพรอบด้านของพระองค์ โครงการพระราชดำริหลายโครงการนอกจากจะแสดงถึงความห่วงใยของพระองค์ที่ทรงมี ต่อปวงชนชาวไทยแล้ว ยังยืนยันถึงพระปรีชาสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้วย
เนื่องในวโรกาสสำคัญแห่งการฉลองการครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี “ผู้จัดการวิทยาศาสตร์” ขอน้อมรำลึกถึงพระอัจฉริยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีผ่านโครงการพระราชดำริที่สำคัญๆ ซึ่งทำให้คนไทยได้ประจักษ์ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้าถึงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างถ่องแท้ และทรงปรับใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงความเป็นอยู่ของพสกนิกรให้อยู่ดีกินดีตามวิถีแห่งความพอเพียงตลอดมา

“ฝนหลวง” เย็นชุ่มฉ่ำหัวใจไทยมิรู้ลืม
 “ฝนหลวง” เป็นโครงการสำคัญที่คนไทยรู้จักดี และเมื่อปี ๒๕๔๘ ที่เพิ่งผ่านไปนั้นฝนหลวงก็ได้เทลงมาให้หัวใจไทยชุ่มฉ่ำอีกครั้ง และช่วยชะล้างความทุกข์ในใจชาวไทยจากปัญหาภัยแล้งช่วงกลางปีในหลายพื้นที่ ซึ่งระดับน้ำในเขื่อนทั้ง ๑๓ แห่งทั่วประเทศลดลงจนอยู่ในขั้นวิกฤต โดยผลจากการกู้ภัยแล้งด้วยโครงการหลวงก็สามารถบรรเทาวิกฤตดังกล่าวได้อย่างน่าพอใจ
ทั้งนี้โครงการฝนหลวงเกิดจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนิน เยี่ยมพสกนิกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อปี ๒๔๙๘ และทรงสังเกตเห็นว่าบนท้องฟ้ามีเมฆปกคลุมแต่ไม่รวมตัวกันให้เกิดฝน จึงมีพระราชดำริว่าน่าจะมีมาตรการทางวิทยาศาสตร์มาช่วยให้เมฆเหล่านั้นก่อตัวเป็นเมฆฝนได้ จนกระทั่งมีการจัดตั้ง “สำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง” ซึ่งดำเนินงานฝนหลวงมาจนถึงปัจจุบัน
หลัก การทำฝนหลวงมีขั้นตอนโปรย “ผงเกลือแป้ง” เพื่อเป็นแกนในการดูดความชื้นในอากาศ จากนั้นใช้สารเคมีอีกหลายชนิดเพื่อช่วยในการเพิ่มแกนเม็ดไอน้ำ (Nuclii) เช่น เกลือแกง ยูเรีย แอมโมเนียไนเตรตและน้ำแข็งแห้ง เป็นต้น จนเมื่อเมฆเติบโตและเคลื่อนสู่เป้าหมายก็ใช้เทคนิคจู่โจมกลุ่มเมฆ โดยโปรยเกลือโซเดียมคลอไรด์ทับยอดเมฆและฐานเมฆและโปรยผงยูเรียเพื่อให้ อุณหภูมิลดลง ทำให้เกิดเม็ดน้ำขนาดใหญ่แล้วตกกลายเป็นฝนในที่สุด ต่อเพิ่มเติม
 (อ่าน : “ฝนเทียมไทย” ไม่แพ้ใครในโลก ด้วยสูตรเฉพาะส่วนพระองค์)
  “แก้มลิง” กักตุนแล้วระบายน้ำตามแรงโน้มถ่วง
นอกจากปัญหาภัยแล้งแล้ว “น้ำท่วม” ก็เป็นอีกภัยธรรมชาติที่ทำให้น้ำตาไทยเอ่อล้น โครงการ “แก้มลิง” เป็นอีกโครงการที่ช่วยซับความเดือดร้อนของประชาชนชาวไทย ซึ่งดำเนินการโดยระบายน้ำจากตอนบนให้ไปตามคลองในแนวเหนือใต้สู่คลองพักน้ำขนาดใหญ่ที่ชายทะเล เมื่อระดับน้ำในทะเลลดต่ำกว่าในคลองก็ระบายน้ำออกจากคลองทางประตูระบายน้ำด้วยหลักการแรงโน้มถ่วงของโลก
ทั้งนี้โครงการแก้มลิงเปรียบเหมือนการกินกล้วยของลิงซึ่งจะเก็บกล้วยไว้ที่แก้ม ก่อนจะค่อยๆ นำมาเคี้ยวและกินภายหลัง เมื่อนำมาใช้แก้ปัญหาน้ำท่วมก็ขุดคลองต่างๆ เพื่อชักน้ำมารวมกันไว้เป็นบ่อพักที่เปรียบได้กับแก้มลิง แล้วค่อยๆ ระบายน้ำลงทะเลเมื่อน้ำทะเลลดลง ผลจากดำเนินการโครงการดังกล่าวจึงช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งเป็นที่ลุ่มทำให้ระบายน้ำออกได้ล่าช้า
  “กังหันน้ำชัยพัฒนา” ปั่นน้ำเสียเติมออกซิเจน
“กังหันน้ำชัยพัฒนา” คือเครื่องกลเติมอากาศที่เป็นกังหันน้ำแบบทุ่นลอยซึ่งใช้ในการบำบัดน้ำเสีย โดยใช้กังหันวิดน้ำไปบนผิวน้ำแล้วปล่อยให้ตกลงผิวน้ำตามเดิม และน้ำจะถูกสาดกระจายสัมผัสอากาศทำให้ออกซิเจนละลายในน้ำ น้ำเสียจึงมีคุณภาพดีขึ้น สามารถนำไปใช้บำบัดน้ำเสียทั้งจากแหล่งชุมชน อุตสาหกรรมและการเกษตร
ทั้งนี้แนวทางของการพัฒนามาจากสภาพเน่าเสียของแหล่งน้ำต่างๆ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีพระราชดำริว่าจำเป็นต้องบำบัดน้ำเสียด้วยเครื่องกลเติมอากาศ จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนาสนับสนุนงบฯ ศึกษาและวิจัยร่วมกับกรมชลประทานผลิตเครื่องต้นแบบขึ้นในปี ๒๕๓๒ จากนั้นก็มีการพัฒนามาอีกหลายรุ่น และในปี ๒๕๓๖ กังหันน้ำชัยพัฒนาก็ได้รับการพิจารณาและทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย (อ่าน : “กังหันชัยพัฒนา” วิดน้ำเสียเติมออกซิเจน “สิทธิบัตรในพระปรมาภิไธย”) ต่อเพิ่มเติม

“เขื่อนดิน” อ่างเก็บน้ำที่ไม่ใช้คอนกรีต
เขื่อนดินเป็นแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำผิวดินตามแนวพระราชดำริ ตัวเขื่อนนิยมก่อสร้างด้วยการถมดินและบดอัดจนแน่น สามารถส่งน้ำไปตามท่อส่งน้ำได้ เพื่อใช้ในการเกษตรและการอุปโภคบริโภค อีกทั้งยังใช้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำขนาดเล็กอย่างปลาและกุ้งน้ำจืดได้ นอกจากนี้เขื่อนดินยังเป็นปราการที่ไม่เพียงบรรเทาปัญหาขาดแคลนน้ำหากแต่ยังป้องกันน้ำท่วมได้อีกด้วย ส่วนความจุของปริมาณขึ้นอยู่กับความสูงของเขื่อน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรอ่างเก็บน้ำแต่ละแห่งก็จะทรงปล่อยลูกปลา ลูกกุ้งเพื่อพระราชทานแก่ราษฎรในบริเวณนั้นให้มีแหล่งอาหารสำหรับบริโภค ทั้งนี้มีการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำในลักษณะดังกล่าวทั่วประเทศเป็นจำนวนมาก อาทิ อ่างเก็บน้ำแม่งัดสมบูรณ์ชล จ.เชียงใหม่ อ่างเก็บน้ำห้วยเดียก จ.สกลนคร อ่างเก็บน้ำห้วยซับตะเคียน จ.ลพบุรี อ่างเก็บน้ำคลองหลา จ.สงขลา รวมทั้งเขื่อนขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี คือ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ใน จ.ลพบุรี และ จ.สระบุรี ซึ่งเก็บน้ำได้มากถึง ๙๖๐ ล้านลูกบาศก์เมตร
  “ไบโอดีเซล” จากปาล์มประกอบอาหารสู่เชื้อเพลิงเครื่องยนต์
ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้นำทางด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนผ่านโครงการส่วนพระองค์มาตั้งแต่ปี ๒๕๒๒ โดยมีโครงการผลิตแก๊สชีวภาพ เอทานอล แก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซลจากปาล์ม ซึ่งในส่วนของพระราชดำริด้านการพัฒนาน้ำมันปาล์มเพื่อใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลนั้น การพัฒนาไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์มในชื่อ “การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล” ได้จดสิทธิบัตรที่กระทรวงพาณิชย์เมื่อวันที่ ๙ เม.ย.๒๕๔๔
อีกทั้งในปี ๒๕๔๖ ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลจาก “โครงการน้ำมันไบโอดีเซลสูตรสกัดจากน้ำมันปาล์ม” ในงาน “บรัสเซลส์ ยูเรกา” ซึ่งเป็นงานแสดงสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของโลกวิทยาศาสตร์ ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ทั้งนี้ปาล์มเป็นพืชที่ให้ปริมาณน้ำมันต่อพื้นที่ปลูกสูง อีกทั้งเกษตรกรสามารถผลิตใช้เองได้ภายในประเทศ ซึ่งจะใช้ทดแทนการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศได้ (อ่าน : “แก๊สโซฮอล์-ไบโอดีเซล” รับวิกฤตพลังงาน พระราชดำริล่วงหน้ากว่า ๔๐ ปี)
 “แหลมผักเบี้ย-หนองหาร” โครงการรักษ์สิ่งแวดล้อม
สิ่ง แวดล้อมเป็นอีกปัญหาที่ได้รับการแก้ไขด้วยโครงการพระราชดำริ โดยส่วนของโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ยเป็นโครงการตาม แนวพระราชดำริในการบำบัดน้ำเสีย กำจัดขยะมูลฝอย และรักษาสภาพป่าชายเลน ทั้งนี้ แบ่งการบำบัดเป็น ๒ ส่วนคือระบบบำบัดหลักและระบบบำบัดรอง สำหรับระบบบำบัดหลักนั้น ซึ่งมีบ่อสำหรับตกตะกอนและปรับสภาพน้ำเสียจำนวน ๕ บ่อ โดยส่งน้ำเสียผ่านท่อไปยังบ่อบำบัดและในบ่อสุดท้ายจะมีคณะวิจัยตรวจสอบ คุณภาพน้ำก่อนส่งต่อ
ส่วนระบบบำบัดรองนั้นอาศัยการบำบัดโดยธรรมชาติ ประกอบด้วย ๑.ระบบบึงชีวภาพ ซึ่งจะปลูกพืชที่สามารถเจริญได้ดีในน้ำขังเสีย ดูดซับสารพิษและสารอินทรีย์ได้ เช่น กก อ้อ เป็นต้น ๒.ระบบกรองน้ำเสียด้วยหญ้า เช่น หญ้าเนเปีย หญ้าแฝก หญ้านวลน้อย หญ้ารูซี่ เป็นต้น โดยจะส่งน้ำเสียไปขังในแปลงหญ้าเป็นระยะๆ และ ๓.ระบบกรองด้วยป่าชายเลน โดยในพื้นที่ป่าชายเลนจะปลูกโกงกาง แสมขาว เป็นต้น เพื่อให้มีสภาพใกล้เคียงธรรมชาติ น้ำที่ผ่านป่าชายเลนก็จะได้การบำบัดตามธรรมชาติ
นอก จากนี้ยังมีโครงการตามพระราชดำริเพื่อบำบัดน้ำเสียใน อ.เมือง จ.สกลนคร ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้วิจัยและพัฒนาระบบ บำบัดน้ำเสีย โดยได้ทรงทอดพระเนตรน้ำเสียบริเวณหนองสนม ข้างโรงงานผลิตน้ำประปา ซึ่งมีแนวทางแก้คือรวบรวมน้ำเสียมาระบายลงหนองหารเป็นจุดเดียวกัน เพื่อจัดทำโครงการบำบัดน้ำเสียโดยวิธีธรรมชาติรวมกับการใช้เทคโนโลยีแบบ ประหยัด
น้ำเสียจากตัวเมืองสกลนครจะถูกรวบรวมโดยระบบท่อส่งและผ่านการบำบัดให้ดีในระดับหนึ่ง ก่อนส่งต่อไปยังแปลงพืชน้ำบำบัดแล้วระบายลงสู่หนองหารต่อไป สำหรับพืชน้ำที่ใช้บำบัดน้ำเสีย ได้แก่ ธูปฤาษี กกเล็ก แพงพวยน้ำ บอน ผักตบชวา หญ้าปล้องละมาน เป็นต้น
  “แกล้งดิน” เร่งกำมะถันทำปฏิกิริยา ไล่หน้าดินเปรี้ยว
จาก ปัญหาดินเปรี้ยวในบริเวณป่าพรุที่ถูกน้ำท่วมในจังหวัดนราธิวาส เนื่องจากมีสารประกอบไพไรท์ซึ่งมีกำมะถันเป็นองค์ประกอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำริให้ทดลอง “แกล้งดิน” ด้วยการทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันไป เพื่อกระตุ้นให้สารไพไรท์ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนแล้วปลดปล่อยกำมะถันออกมา ทำให้ดินเปรี้ยวจัดจากนั้นปรับปรุงดินด้วยการใช้น้ำร่วมกับปูนมาร์ลหรือปูน ฝุ่นแล้วไถพลิกกลบดิน ความเป็นเบสของปูนจะทำให้ดินซึ่งเปรี้ยวจัดถูกกระตุ้นให้ “ช็อก” จึงปรับสภาพสู่สภาวะปกติ จนกระทั่งเพาะปลูกข้าวได้
การ ปรับพื้นที่และยกร่องก็เป็นวิธีระบายกรดบนหน้าดินอีกทางหนึ่ง ส่วนจะปลูกพืชชนิดใดนั้นต้องปรับพื้นที่ให้เหมาะสม เช่น หากจะปลูกข้าวต้องปรับดินให้ลาดเอียงเพื่อให้น้ำไหลออก หากจะปลูกผักหรือพืชไร่อื่นให้ยกร่องและทำคูเพื่อป้องกันน้ำท่วม นอกจากนี้ยังต้องใส่ปูนขาวเพื่อปรับให้ดินเป็นกลาง หรืออาจจะใช้น้ำจืดชะล้างก็ได้แต่ใช้เวลานาน
  “หญ้าแฝก” รากฝังลึกอนุรักษ์หน้าดิน
ด้วยระบบรากของ “หญ้าแฝก” ที่ฝังลึกไปในดินตรงๆ และแผ่กระจายเหมือนกำแพงจึงช่วยชะลอความเร็วของน้ำที่ไหลผ่านหน้าดิน ช่วยเก็บความชุ่มชื้นของดินไว้และป้องกันการพังทลายของหน้าดิน จึงมีการนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการอนุกรักษ์ดิน เช่น ปลูกตามพื้นที่ลาดชันหรือบริเวณเขื่อนเพื่อป้องกันการกัดเซาะของหน้าดิน ปรับปรุงดินที่เสื่อมโทรม และยังใช้ปลูกป้องกันสารพิษปนเปื้อนลงแหล่งน้ำ เป็นต้น
ผล จากการดำเนินงานตามพระราชดำริในการศึกษาให้ทราบพันธุ์และหาวิธีปลูกหญ้าแฝก ที่เหมาะสมเพื่อเผยแพร่ในพื้นที่ๆ ประสบปัญหาการชะล้างพังทลายของหน้าดิน ทำให้สมาคมควบคุมการกัดเซาะผิวดินนานาชาติ(International Erosion Control Association: IECA) มีมติถวายรางวัล The International Erosion Control Association’s International Merit Award แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเป็นแบบอย่างในการนำหญ้าแฝกมาใช้ อนุรักษ์ดินและน้ำ เมื่อวันที่ ๓๐ ต.ค.๒๕๓๖
ด้วยพระปรีชาสามารถซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่ปวงชนชาวไทยมากมายเช่นนี้ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบถวายการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะที่ทรงเป็น “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีไทย” เมื่อปี๒๕๔๓ และกำหนดให้วันที่ ๑๙ ต.ค. ซึ่งเป็นวันที่พระองค์ทรงอำนวยการสาธิตฝนหลวงครั้งแรกให้เป็น “วันเทคโนโลยีไทย”
นอก จากนี้พระอัจฉริยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่คนในวงการ วิทยาศาสตร์ควรจะน้อมนำเป็นแบบอย่างและแนวทางเพื่อการพัฒนางานที่อยู่สู่การ พัฒนาประเทศ

โครงการตามพระราชดำริด้านการศึกษา

  • ทุนภูมิพล
  • ทุนเล่าเรียนหลวง
  • โรงเรียนร่มเกล้า
  • โรงเรียนจิตรลดา
  • มูลนิธิอานันทมหิดล
  • โรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์
  • มูลนิธิช่วยครูอาวุโสในพระบรมราชูปถัมภ์
  • โรงเรียนราชประชาสมาสัย
  • มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์
  • โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
  • โดยพระราชประสงค์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ทุนภูมิพล
ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ เพื่อสนับสนุนการศึกษาของชาติเริ่มดำเนินงานเป็นกองทุนจากรายได้ในการจัด ฉายภาพยนตร์ส่วนพระองค์
จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ แห่งละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท เก็บดอกผลเป็นทุนการศึกษาของนิสิตนักศึกษา ต่อมาได้ขยาย ไปยังมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตราบถึง พ.ศ.๒๕๒๙ มีผู้ได้รับ ทุนและรางวัลประมาณ ๑,๑๓๗ คน เป็นเงิน ๓,๗๘๙,๓๘๐ บาท
ทุนเล่าเรียนหลวง
เริ่มวางระเบียบเป็นหลักฐานเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๐ ในสมัยรัชการที่ ๕ เพื่อให้คนไทยนำความรู้สมัยใหม่จาก ต่างประเทศมาพัฒนาประเทศ
ทุนนี้ได้ยุติลงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้รื้อฟื้นขึ้นใหม่ในพ.ศ.๒๕๐๘ มีผู้รับทุนถึง พ.ศ.๒๕๒๙ จำนวน ๙๗ คน เป็นเงิน ๕๒,๔๐๒,๙๓๕.๔๓ บาท
โรงเรียนร่มเกล้า
โรงเรียนร่มเกล้าแห่งแรกตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๕ ณ บ้านหนองแคน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม
เป็น โรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในชนบทห่างไกล บริเวณชายแดน และในเขตพื้นที่อันตราย เพื่อให้เด็กและเยาวชนในชนบทได้มีที่เรียนและสามารถ เรียนต่อระดับมัธยมศึกษาในท้องถิ่นของตน เป็นการให้ความเสมอภาคทางการศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาส ในชนบทห่างไกล
โรงเรียนจิตรลดา
เริ่มเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘ เพื่อใช้เป็นที่ทรงศึกษาของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญาและพระ สหาย
ดำเนินงานสร้างเป็นโรงเรียนเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ และจดทะเบียนเป็นโรงเรียนราษฎร์เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๑ เปิดรับนักเรียนทั่วไป จำนวนที่ศึกษาสำเร็จไปแล้วถึง พ.ศ.๒๕๒๘ จำนวน ๖๔๐ คน
มูลนิธิอานันทมหิดล
ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘ เพื่อให้โอกาสนักศึกษาที่มีความสามารถยอดเยี่ยมไปศึกษาวิชาชั้นสูงในต่าง ประเทศ
แต่เดิมให้ทุนเฉพาะนักศึกษาแผนกวิชาแพทยศาสตร์ต่อมาขยายให้แก่นักศึกษาแผนก วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมสาสตร์ เกษตรศาสตร์ ธรรมศาสตรและอักษรศาสตร์ มูลนิธิได้จ่ายเงินเพื่อ การนี้ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๒๙ เป็นเงิน ๘๔,๕๔๙,๗๓๙.๐๑บาท มีผู้รับทุนที่สำเร็จการศึกษาแล้วถึง เดือนมิถุนายน ๒๕๒๙ รวม ๑๐๕ คน
โรงเรียนเจ้าพ่อหลวงอุปถัมภ์
เริ่มเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๙ เพื่อสอนหนังสือให้แก่เด็กชาวเขาและประชาชนที่ห่างไกลคมนาคม เพื่อขจัดความ ไม่รู้หนังสือ
และเป็นการผูกมิตรเข้าถึงประชาชน ภายหลังมอบใหกระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานที่ รับผิดชอบในด้านการจัดดำเนินการ
มูลนิธิช่วยครูอาวุโสในพระบรม ราชูปถัมภ์
ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๙ เพื่อช่วยครูที่เกษียณอายุราชการมีประวัติการทำงานและความประพฤติเป็นแบบ อย่างที่ดี
มูลนิธิจะมอบเครื่องหมายเชิดชูเกียรต และให้เงินช่วยเหลือในรายที่จำเป็น ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๐- ๒๕๒๘ มีครูที่ได้รับเงินช่วยเหลือ ๙๘๕ รายเป็นเงิน ๖,๐๖๐,๐๐๐ บาท
โรงเรียนราชประชาสมาสัย
เริ่มเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ เพื่อให้บุตรผู้ป่วยโรคเรื้อนที่แยกเลี้ยงจากพ่อแม่แต่แรกเกิดที่มีศึกษาระดับอนุบาล และประถมศึกษา
เดิมเป็นโรงเรียนในสังกัดมูลนิธิราชประชาสมาสัย ของกระทรวงสาธารณสุข ต่อมา แยกมาตั้งเป็นมูลนิธิโรงเรียนราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘ จัดการเป็นโรง เรียนราษฎร์ซึ่งมีทั้งฝ่ายประถมและมัธยม นับถึง พ.ศ.๒๕๒๘ โรงเรียนได้เงินช่วยเหลือในด้านต่างๆ รวม ๔๑,๐๑๓,๒๓๖.๖๐ บาทมีบุตรผู้ป่วยที่ได้รับความช่วยเหลือและพ่อแม่รับกลับไปแล้ว ๒๐๒ คน
มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์
เริ่มเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๖ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบวาตะภัยภาคใต้ ต่อมาขยายให้ความช่วยเหลือด้านการ ศึกษาแก่เด็กกำพร้า จากครอบครัวประสบวาตภัยภาคใต้
และประชาชนที่ประสบสาธารณภัยต่างๆ ถึง เดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๒๙ มีผู้ได้รับความช่วยเหลือในด้านต่างๆรวม ๔,๕๖๓,๒๔๐ คน เป็นเงิน ๕๑,๖๗๖,๒๐๒.๗๖ บาท และมีผู้ได้รับทุนอุดหนุนการศึกษาถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๙ จำนวน ๙๙ ทุน เป็นเงินทั้งสิ้น ๘๕๔,๐๘๐ บาท
โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจัดตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๒ เพื่อจัดทำหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ
ให้ประชาชนได้ค้นคว้าหา ความรู้ด้วยตนเองในยามที่มีปัญหาขาดแคลนครูและที่เล่าเรียน นับถึง พ.ศ.๒๕๓๑ ได้จัดทำทั้งฉบับ ราชประทานและฉบับจำหน่าย เสร็จแล้วจำนวน ๑๒ เล่ม และได้มอบหนังสือฉบับพระราชทานให้โรง เรียนทั่วประเทศไปแล้ว ๕๐,๐๐๐ เล่ม โครงการตามพระราชดำริด้านการศึกษา
ไอศครีมกุหลาบ   สวยจนไม่อยากกิน ว้าวว เมืองไทยน่าจะมีนะคะ เลิศมาก










10 อันดับโลก!!!... โรงแรมหรูที่สุด

ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

 


 
 

 

 

 

อันดับ 10 The Apeiron โรงแรมเกาะกลางทะเล




 

โรงแรม Apeiron island

จัดเป็นโรงแรมระดับ 7 ดาว
มีพื้นที่ประมาณ 2 แสนตารางเมตร

ตั้งอยู่บนความสูง 185 เมตร
มีห้องพักระดับหรูหรา มากกว่า 350 ห้อง

ทุกอย่างที่อยู่ในโรงแรมนี้คือคำนิยาม

ของความไฮเทคที่มีระดับ
มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก เพราะตัวโรงแรมสร้างลากูน

ขึ้นกลางน้ำเป็นของตัวเอง

รวมถึงหาดทรายกลางทะเล ภัตตาคารสุดหรู
โรงหนัง แหล่งชอปปิ้ง แกลลอรี่ศิลปะ สปา

และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ทำให้การประชุมทางไกล

กับโลกพื้นดินทำได้โดยสะดวก

แม้ถูกจัดอันดับให้เป็นอันดับ 10 แต่ก็ยังไม่ถูกสร้างเสียที

 

 


อันดับ 9 Foldable hotel pods โรงแรมลอยน้ำ




เมื่อต้นปีที่ผ่านมาบริษัทยักษ์ใหญ่

ทางด้านการออกแบบของอังกฤษรายนี้

ได้เผยโฉมต้นแบบโรงแรมยักษ์ใหญ่

กลางทะเลแห่งนี้ขึ้นมาในงาน Future Holiday Forum

 
โดยชี้ให้เห็นว่าด้วยเทคโนโลยีการเดินทางสมัยใหม่
บวกกับการออกแบบชั้นยอด

ทำให้โรงแรมชั้นเยี่ยมสมัยใหม่
สามารถไปตั้งอยู่กลางทะเลที่ไหนก็ได้ที่บรรดาแขก

อยากไป และอยู่ได้เป็นเวลานานๆ

 

 


อันดับ 8 โรงแรม Burj al-Arab

เมื่อตะวันออกพบตะวันตก
ประเทศสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์


 

 

  

 

 

 

 

 

 


โรงแรมนี้จัดว่าขึ้นชื่อระดับโลก

เพราะก่อสร้างและเปิดดำเนินการเรียบร้อยแล้ว 

ถือเป็นโรงแรมระดับ 7 ดาวแห่งแรกของโลก

ความสูงของโรงแรม อยู่ที่ 321 เมตร

ตัวโรงแรมนั้นถูกออกแบบมาให้เป็นเหมือน

ใบพัดเรือบนพื้นที่ที่เป็นเหมือนเกาะ

อยู่ห่างจากหาด Jumeirah ประมาณ 280 เมตร

ความสุดยอดของโรงแรมนี้อีกอย่างหนึ่งคือ

การเป็นเอเทรียมที่สูงที่สุดในโลก คือสูงถึง 180 เมตร

มีห้องพักกว่า 200 ห้องที่ไม่ซ้ำกันเลย

ด้วย ราคาระหว่าง 1,000 ไปจนถึง

มากกว่า 28,000 เหรียญสหรัฐต่อคืน

ในตัวโรงแรมมีภัตตาคาร 8 แห่ง

แต่ละแห่งมีทั้งบาร์และเลาจ์ ฟิตเนส

และ สิ่งอำนวยความสะดวก

 

 


อันดับ 7 Waterworld โรงแรมกลางน้ำตกยักษ์

ประเทศจีน

 

 




แค่เห็นดีไซน์ก็รู้แล้วว่านี่มันเป็น

โรงแรมแห่งความฝันชัดๆ เพราะตัวโรงแรม

เหมือนฝังไปกับน้ำตกแห่งหนึ่งในเมืองจีน

ตัวโรงแรมนี้ออกแบบ ให้มีห้องพัก 400 ห้อง

ที่สำคัญห้องอยู่ใต้น้ำตก ลูกเล่นที่เป็นทีเด็ดก็คือ

สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการเล่นกีฬา

เอ็กซ์ตรีมบริเวณอ่าวของโรงแรม

ไม่ว่าจะเป็นสระว่ายน้ำที่หรูสุดๆ

หน้าผาระดับพระเจ้าให้ปีนไต่

และบันจี้จั๊มพ์ รวมถึงลูกเล่นอื่นๆ

และโรงแรมนี้จะมีโอกาสสร้างก็ต่อ
เมื่อผ่านเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้วเท่านั้น


 

 


อันดับ 6 The Poseidon รีสอร์ทใต้ทะเล




ด้วยพื้นที่ใต้น้ำลึกกว่า 1,200 ตารางฟุตแห่งนี้

เป็นรีสอร์ทที่ถูกจับตามากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

เพราะเป็นรีสอร์ทใต้น้ำแห่งแรกของโลก

ที่จะสร้าง เสร็จภายในปี 2009

มีห้องพักสุดหรูขนาดใหญ่ถึง 550 ตารางฟุต

 

และนักท่องเที่ยวที่ไปเยี่ยมเยียนรีสอร์ทแห่งนี้

สามารถใช้บริการขับเรือดำน้ำ
สามารถดำดิ่งไปดูปะการังน้ำลึก

ดำน้ำแบบสกูบ้า กีฬาทางน้ำทุกชนิดเท่าที่นึกได้

แล่นเรือใบพารา สำรวจถ้ำ และอื่นๆ อีกมากมาย

 

 


อันดับ 5 The Hydropolis : โรงแรมใต้น้ำระดับ 10 ดาว


 


เป็นอีกโรงแรมหนึ่งที่อาศัยทะเล

เป็นฉากหลังอันตระการตาให้กับผู้มาพัก

ตัวโรงแรมคาดหมายว่าจะสร้างกันที่ดูไบ

โดยเฉพาะตัวโรงแรมนั้นได้ใส่ศูนย์การค้า

ขนาดยักษ์ที่มีพื้นที่กว่า 1.1 ล้านตารางฟุตเข้าไปด้วย

 

ในตัวโรงแรมยังมีห้องบอลรูมขนาดยักษ์
 มีโรงภาพยนต์ดิจิตอลไฮเทค สุดอลังการ

และที่เจ๋งสุดๆ ก็คือมีระบบป้องกันตัวเอง

ด้วยจรวดมิสไซล์ที่อยู่ต่ำกว่าน้ำทะเลลงไป 60 ฟิต

ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสนุกกับเครื่องเล่นมากมาย

ในสถานที่ที่เป็น ธีมต่างๆ กว่า 220 แห่ง

ความคืบหน้าล่าสุดของโครงการนี้มี 150 บริษัท

ที่กระโดดเข้ามาร่วมแย่งชิงกันอยู่

และกว่าจะรู้ว่าใครจะเป็นผู้ได้ดำเนินโครงการ

ก็ประมาณปลายปีนี้

 

 


อันดับ 4 The Lunatic Hotel : โรงแรมบนดวงจันทร์




เปลี่ยนบรรยากาศไปที่โรงแรม

บนดวงจันทร์กันบ้างดีกว่า

และโครงการนี้ไม่ถือว่าโคมลอยแต่อย่างใด

โอกาสที่จะเป็นจริงมีมากเหลือเกิน

 

ซึ่งถ้าเปิดให้บริการเมื่อไหร่

คงต้องเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกแน่นอน

ถือว่านี่เป็นอีกความฝันของปี 2050

ที่ต้องไปให้ถึงเลยทีเดียว(อีกไม่กี่ปีเอง)

 

 



สำหรับโครงการ Aeroscraft


บอลลูนยักษ์ลอยฟ้าที่อัดแน่นด้วย

พลังงานกว่า 400 ตัน ทำให้สามารถ

นำพาผู้โดยสารเหินไปกลางอากาศ

ด้วยความเป็นอยู่ที่หรูหราสุดยอด

ที่มีพื้นที่เท่ากับสนามฟุตบอล

สองสนามลอยอยู่บนอากาศ

ด้วยก๊าซฮีเลียมจำนวน 14 ล้านลูกบาศก์ฟุต

 

ตามติดด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดยักษ์

และเชื้อเพลิงไฮโดรเจน มีพัดลมขนาดยักษ์ 6 ตัว

สามารถนำผู้โดยสารไปได้ประมาณ 250 คน

ด้วยความเร็ว 174 ไมล์ต่อชั่วโมง

ที่ความสูง 6,000 ไมล์ ในตัวโรงแรม

จะมีคาสิโน ภัตตาคาร ฯลฯ

 

 


อันดับ 2 Galactic Suite โรงแรมอวกาศ


 


จากความพยายามของ Xavier Claramunt

ที่ต้องการผจญภัยในอวกาศด้วยยานขนส่ง

ซึ่งตัวยานนั้นออกแบบมาให้มีห้องพัก 22 ห้อง

ขนาด 7x4 เมตร พร้อมหน้าต่างที่เปิดให้เห็นวิวอวกาศ

และสิ่งอำนวยความสะดวก

 

คราวนี้ก็ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งนาซา

หรือรัสเซียในการจ่ายเงินที่แพงมาก

ในการขึ้นไปเที่ยวรอบโลก

ด้วยยานอวกาศเหมือนที่ผ่านมา

ตอนนี้เครื่องต้นแบบสร้างเสร็จแล้ว

และอยู่ในระหว่างรอนักลงทุนกระเป๋าหนัก

ที่มองเห็นอนาคตกระโดดเข้ามาลงทุนเท่านั้นเอง

 

 

และ !!!!! อันดับที่หนึ่งงงงงง ง ง ง ก็คือ~~~

อันดับ 1 Bigelow Aerospace, Las Vegas




เครื่องเดินอากาศ หรือ CSS Skywalker

โรงแรมท่องบรรยากาศนอกโลก

แต่ยังอยู่ในวงโคจรโลก เหมือนกับ

เป็นดาวเทียมขนาดใหญ่ดวงหนึ่งนั่นเอง

ด้วยพื้นที่ 1,500 ตารางเมตร

 

และขนาดที่ใหญ่ถึง 1 แสนกิโลกรัม

มีโครงสร้างของยานที่หนากว่า 18 นิ้ว

ค่าใช้จ่ายอยู่ที่  $1 ล้านต่อคืน
 

http://thaicursor.blogspot.com  getcode